วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2566 นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงผลการจัดชั้นความเข้มแข็งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และแนวทางการบูรณาการขับเคลื่อนความเข้มแข็งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยมี นายคีตวุฒิ นับแสง สหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสำนักงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี เข้าร่วมประชุม ผ่านการถ่ายทอดสัญญาณระบบ Zoom Meeting มายัง ห้องประชุม1 สำนักงานสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี
โอกาสนี้ อธิบดีฯ ได้กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นปีแรกที่ได้ใช้เกณฑ์การประเมินความเข้มแข็งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรใหม่ ที่ได้ดำเนินการประเมินสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรตามเกณฑ์ใหม่ แต่ยังมีการจัดชั้นสหกรณ์ตามมาตรฐานสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสำหรับปี 2566 ด้วย และในปี 2567 ได้มีการยกเลิกในเรื่องมาตรฐานสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร และจะใช้เกณฑ์การประเมินความเข้มแข็งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่จะได้ประชุมหารือกัน เพื่อให้การบูรณาการการสร้างความเข้มแข็ง การจัดชั้นความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดร่วมของกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในการปฏิบัติภารกิจในการส่งเสริมสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้เข้มแข็งเป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2566 - 2580) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570)
สำหรับการปฏิบัติงานในปี 2567 กรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ภายใต้คณะทำงานบูรณาการขับเคลื่อนความเข้มแข็งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรโดยการกำนดแนวทางร่วมกันตามภารกิจของทั้ง 2 หน่วยงานที่จะขับเคลื่อนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งการประเมินผล สรุปการประเมินความเข้มแข็ง มีการจัดชั้นให้เป็นระบบ ซึ่งมีกระบวนการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในตัวชี้วัดทั้ง 4 มิติ ทั้ง 2 หน่วยงานรับผิดชอบร่วมกัน จึงจำเป็นต้องพูดคุยหารือให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการปฏิบัติงาน โดยแต่ละมิติจะมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้ง 2 หน่วยงานจะต้องร่วมมือกันปฏิบัติงาน ร่วมกันขับเคลื่อนความเข้มแข็งของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในประเทศให้สามารถเป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งพาของสมาชิกและเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะผู้บริหารของกระทรวงฯ มีความคาดหวังกับสหกรณ์ภาคการเกษตรว่าจะช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับเกษตรกรได้